เทคนิคการเขียนบทความวิชาการ : #หนึ่งบทความวิชาการคือหนึ่งบทเรียนในตำราหรือหนังสือ

สมรรถนะตั้งต้นของความสามารถในการเขียนตำราหรือหนังสือทางวิชาการ
บทความวิชาการ เป็นข้อเขียนทางวิชาการที่อยู่ระหว่าง 8-15 หน้ากระดาษ เพื่อนำเสนอแง่คิด มุมมอง แนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนงานวิจัยให้เป็นที่รู้จักแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานทางวิชาการที่บุคลากรสายวิชาการจำเป็นต้องกระทำให้มีขึ้น ด้วยเหตุผลของบทบาทความเป็นนักวิชาการและโอกาศความก้าวหน้าในการประกอบอาชีพ สำหรับเทคนิคการเขียน สำหรับ #แนวทางและเทคนิคการเขียนบทความวิชาการ ดังนี้

  1. #นิยามบทความวิชาการ หมายถึง งานเขียนเรียบเรียงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (เรื่องเดียว) ที่อ้างอิงบนฐานความรู้ (แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัย) โดยทั่วไปความยาวระหว่าง 8-15 หน้า
  2. #หลักการของการเขียนบทความวิชาการ
    a. บทความวิชาการหนึ่งบทความควรนำเสนอแค่หนึ่งประเด็น
    b. แก่นสารัตถะของบทความอาจใช้แนวทางการเขียนลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือมากกว่า
    c. การเรียบเรียงต้องทำตามแบบงานเขียนทางวิชาการ (มีอ้างอิงข้อมูลอย่างครบถ้วน)
    d. ต้องเรียบเรียงการเขียนตามรูปแบบของวารสารที่จะตีพิมพ์
    e. เขียนอย่างกระชับโดยความยาวระหว่าง 8-15 หน้า
    f. การเขียนต้องไม่ละเมิดจริยธรรมทางวิชาการ (คัดลอกผลงานคนอื่นโดยไม่อ้างอิง การตีพิมพ์ซ้ำซ้อน)
    g. ฯลฯ
  3. #เทคนิควิธีการเรียบเรียงบทความวิชาการ
    3.1. #การตั้งชื่อเรื่อง : ถ้อยคำที่สื่อถึงแก่นสารัตถะของบทความ
    a. ร้อยเรียงคำสำคัญมาตั้ง (Main Idea+เจ้าของ+พิกัด)
    b. เอาชื่อวัตถุประสงค์ในบทความการวิจัยมาตั้ง
    c. ตั้งให้ชื่อให้งดงาม (ดึงดูดคนอ่าน)
    d. ฯลฯ
    3.2. #การเขียนบทคัดย่อ/สาระสังเขป : แก่นสารัตถะแบบกระชับของบทความ นำเสนอสองส่วนอาจะเป็นพารากราฟเดียวหรือสองพารากราฟก็ได้
    a. ส่วนแรก เรียบเรียงแบบกระชับไม่เกิน 5 บรรทัด (ความเป็นมาความสำคัญประเด็นวาทะกรรม_หลักการและเหตุผล)
    b. ส่วนท้าย เรียบเรียงแก่นสารัตถะแบบกระชับของเนื้อหาบทความ ประเมิน 5-10 บรรทัด
    3.3. #การเลือกคำสำคัญ : ถ้อยคำที่สื่อถึงกรอบแนวคิดและจำนวนองค์ประกอบกรอบแนวคิดของบทความ
    3.4. #การเขียนบทนำ : การเรียบเรียงหลักการและเหตุผลของการนำเสนอบทความ
    a. ส่วนแรก ระบุความเป็นมาของเรื่อง (Main Idea)
    b. ส่วนสอง ระบุความสำคัญของเรื่อง (Main Idea)
    c. ส่วนสาม นำเสนอประเด็นโต้แย้งทางวิชาการ (Argument) หรือ ประเด็น Anti-Thesis หรือ ชายขอบแห่งความรู้ของประเด็นศึกษา (Main Idea) หรือ ประเด็นวาทะกรรมที่น่าสนใจ ฯลฯ
    d. ส่วนที่สี่ สรุปเป็นหลักการและเหตุผล (ด้วยปรากฏการณ์ที่นำเสนอมาจึงต้องมีการวิจัยเรื่องนี้)
    3.5. #การเขียนเนื้อหาสาระ [ (1) บอกองค์ประกอบ (Composition) (2) อธิบายกระบวนการ (Process) (3) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Relationships between variables) (4) อธิบายระบบและกลไก (System) (5) เล่าเรื่องหรือพรรณนาความ (Narrative) (6) การตีความ (Interpretation) (7) การวิเคราะห์แยกแยะ (Identify analysis) (8) การวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย (Advantage and Disadvantage Analysis) (9) การวิพากษ์วิจารณ์ (Critical review) (10) การสังเคราะห์ (Synthesis) (11) การให้ข้อเสนอแนะหรือแนวทางการพัฒนา (Suggestion or Development guidelines) และ (12) การเขียนแบบผสมผสาน (Mixed)]
    3.6. #การเขียนเอกสารอ้างอิง : เป็นการระบุรายงานเอกสารและหลักฐานการอ้างอิงที่มีการอ้างอิงข้อมูลในเนื้อหาของบทความ : รูปแบบการเขียนก็มีหลากหลายตามแต่รูปแบบของวารสาร เช่น APA style, Chicago style, Footnote เป็นต้น

Share:

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on pinterest
Pinterest
Share on linkedin
LinkedIn

ขอคำปรึกษา

Tag : การทำ is จ้างทำ is จ้างทำวิจัย จ้างทำวิทยานิพนธ์ จ้างทํางานวิจัย จ้างทําวิจัย ป.ตรี ราคา จ้างทําวิจัยราคา จ้างทําวิจัยราคาประหยัด จ้างทําวิจัย ราคาเท่าไหร่ จ้างทําวิทยานิพนธ์ จ้างทําวิทยานิพนธ์ราคา จ้างวิจัย ทําวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย ทำงานวิทยานิพนธ์ บริการรับทำวิจัย รับจัดหน้าวิทยานิพนธ์ รับจ้างทำ is รับจ้างทํางานวิจัย ราคาถูก รับจ้างทํารายงาน รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ ราคาถูก รับจ้างเขียนรายงาน รับทำ is รับทำ powerpoint รับทำ spss รับทำ thesis รับทำดุษฎีนิพนธ์ รับทำวิจัย รับทำวิจัยราคาถูก รับทำวิทยานิพนธ์ รับทำสารนิพนธ์ รับทำแบบสอบถาม รับทำโปรเจคจบ รับทํา thesis รับทํางานวิจัย รับทําปริญญานิพนธ์ รับทํารายงาน รับทําวิจัย ป.ตรี รับทําวิทยานิพนธ์ รับทําวิทยานิพนธ์ ป.โท รับทําวิทยานิพนธ์ ราคา รับทําวิทยานิพนธ์ราคาเท่าไหร่ รับทํา สารนิพนธ์ รับแปลงานวิจัย ราคารับทำวิทยานิพนธ์ วิจัย

Table of Contents

On Key

Related Posts

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ Thesis Thailand ขอแนะนำการจัดตารางการอ่านหนังสือ ดังนี้ . 1. เลือกเวลาที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก . 2.

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

จากการศึกษางานวิจัยของ The British Journal of Psychology ทำการทดลองด้วยการสำรวจความเห็นของกลุ่มคนอายุ 18 ถึง 28 ปี จำนวนกว่า 15,000 คน ผลวิจัยพบว่า คนฉลาดหรือคนที่มีไอคิวสูง ๆ ที่จำนวนของกลุ่มเพื่อนมีผลกระทบต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก และคนฉลาดมักมีความพึงพอใจต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า นั่นแปลว่ายิ่งคุณฉลาดเท่าไหร่ คุณจะยิ่งไม่ชอบเข้าสังคมเลย . พบอีกว่าคนที่มีไอคิวสูงนั้นมักจะไม่ใช้เวลาไปกับการเข้าสังคมหรือใช้เวลากับเพื่อนมากนัก

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

จากการศึกษาเรื่องงานวิจัยที่น่าสนใจของ ดร.มุยเรียนน์ ไอริช นักประสาทวิทยาศาสตร์การรู้คิด จากสถาบันวิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย กล่าวว่าที่ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชายอาจเป็นเพราะผู้หญิงมักต้องทำงานที่ใช้ความจำในด้านบางอย่างมากกว่าผู้ชาย เช่น การตามตารางนัดหมาย หรือการตรวจสิ่งของต่างๆ ว่าเก็บไว้ตรงไหน ทำให้เหมือนเป็นการฝึกฝนไปในตัว . อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา & Holistic Medicine กล่าวว่าโครงสร้างของสมองระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศในช่วงตอนต้นของชีวิต โดยผู้หญิงจะมีสมองส่วน Hippocampus ทำหน้าที่เก็บความจำต่อเหตุการณ์ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้มากกว่าและยังรวมถึงการระลึกเหตุการณ์เก่าๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย และขณะเดียวกันผู้ชายมักจะเก็บความทรงจำในภาพรวมหรือเหตุการณ์สำคัญๆมากกว่า

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

จากการศึกษาจาก แดรี่เลวานี จอห์นสัน (Darylevuanie Johnson) นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาด้านจิตวิทยา กล่าวว่า คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นอยู่เสมอ หรือที่เรียกว่าเป็น People-Pleaser ที่ความพึงพอใจของคนอื่นมักจะมาก่อนของตัวเองเสมอ และคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ กับใครเลย เพราะการถูกปฏิเสธ ถูกโกรธ ถูกบอกเลิก หรือไม่ได้รับการยอมรับ . นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนประเภทนี้ ซึ่งหลายครั้งมันอาจถึงขั้นที่จะต้องแลกหรือเสียสละเวลา พลังงาน ความฝัน ความต้องการส่วนตัวของตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขมากที่สุด ทำให้พวกเขามักจะ