จะเริ่มคิดหัวข้อการวิจัย (แล้วนะ)

จะเริ่มคิดหัวข้อการวิจัย (แล้วนะ)
PUBLISHED ON พฤษภาคม 29, 2011
ปัญหาใหญ่คือ จะเริ่มยังไง .. จะออกแบบการวิจัย (Research Design) อย่างไร จึงจะได้เป็น Ph.D. Candidate (กับเขาสักที)

คิดคร่าวๆก่อนว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไรดี
เรื่องที่จะทำ สำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ ทำแล้วคนจะสนใจมั๊ย ?
ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทบทวนวรรณกรรม (review literature) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมเรื่องที่จะทำ อ่านเยอะๆ อ่านแล้วต้องสังเคราะห์งานวิจัยให้เป็น
หาให้เจอว่า อะไรคือ โจทย์วิจัย (ปัญหาวิจัย / คำถามวิจัย)
กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (กำหนดโดยเอาคำถามวิจัยเป็นตัวตั้ง เพื่อบอกจุดมุ่งหมายในการทำวิจัยครั้งนี้ ว่าทำไปเพื่ออะไร ..เช่น เพื่อสำรวจ เพื่อเปรียบเทียบ เพื่ออธิบาย เพื่อประเมิน เพื่อพัฒนา ฯลฯ)
เรามีปรัชญาและกระบวนทัศน์ (paradigm) ของการวิจัยเป็นอย่างไร (ภววิทยา Ontology / ญาณวิทยา Epistemology / วิธีวิทยา Methodology) และจะเลือกใช้ทฤษฎีหลักอะไรเป็นเครื่องชี้นำ เพื่อสร้างกรอบแนวคิดหรือโมเดลการวิจัย (research framework / model)
กรอบความคิดในการวิจัย ไม่ใช่กรอบความคิดเชิงทฤษฎี (theoritical framework) เพราะมันจะแคบกว่า เนื่องจากเราจำกัดขอบเขตของการวิจัยลงมา แต่ต้องอธิบายได้ว่า แม้จะแคบกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อการวิจัย
กำหนดวิธีการวิจัย จะเลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัย (research methodologies) หรือแนวทางการวิจัย (research approaches) แบบใด ทำไมถึงเลือกวิธีนี้ และจะใช้วิธีวิจัย (research methods) อะไรบ้าง จะสุ่มตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลจากใครที่ไหน จะใช้วิธีอะไรในการจัดการข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบงานวิจัยถึงจะน่าเชื่อถือ และมีความรอบคอบ
จะเอางบประมาณที่ไหนมาทำวิจัย จะมั่นใจได้อย่างไรว่างานวิจัยนี้จะสำเร็จ จะเสร็จเมื่อไหร่ ทำแผนปฏิบัติการแบบ Action Plan มาด้วย
ที่ขาดไม่ได้ สมัยนี้ คือระบุจริยธรรมหรือจรรยาบรรณ (ethics) ที่ใช้ในการวิจัย
คาดว่าเราจะค้นพบอะไรจากการวิจัยครั้งนี้ ?
สุดท้าย น่าจะได้ข้อเสนอโครงการวิจัย (research proposal) หรือข้อเสนอโครงการวิจัยเพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก (Candidacy) ขึ้นมาสักฉบับ
การเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกทางสังคมศาสตร์ มีผู้รู้บอกว่า เราควรเลือกทำเรื่องที่เราถนัด มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เป็นเรื่องที่เราให้ความสนใจ หรือเป็นปัญหาที่เราอยากหาคำตอบ เพราะจะทำให้เรามีแรงจูงใจและมีความพยายามที่จะทำวิจัย จะให้ดีควรเกี่ยวข้องกับงานประจำของเรา หน่วยงานต้นสังกัดให้การสนับสนุน (อยากได้ผลการวิจัยของเราไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนา แก้ปัญหา หรือป้องกันปัญหาในอนาคตขององค์กร) แต่เนื่องจากตอนนี้เรายังมีความรู้ไม่มากพอ ดังนั้น ต้องอ่าน paper ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การ review literature มากๆ ในที่สุดจะทำให้เกิด idea ในการคิดโจทย์วิจัย

งานวิจัยระดับปริญญาเอกนั้น ทำแล้วต้องมีผลกระทบในทางปฏิบัติต่อสังคมหรือชุมชนในวงกว้าง เช่น มีส่วนสำคัญที่จะนำไปแก้ปัญหาประเทศได้ หรือมีผลกระทบต่อวิชาการ เช่นสร้างแนวคิดทฤษฎีหรือองค์ความรู้ใหม่ ที่ยังไม่เคยมีใครคิดมาก่อน .. ฟังแล้วจะเรียนจบมั๊ยนะ ??

บรรณานุกรม
นงลักษณ์ วิรัชชัย. ระเบียบวิธีวิจัย (Research Methods). เอกสารการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องวิธีวิทยาการวิจัยทางการศึกษา, 2545.
จำเนียร จวงตระกูล. การวิจัยเชิงคุณภาพ: เครื่องมือสร้างองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาประเทศ. กรุงเทพ : บริษัทศูนย์กฎหมายธุรกิจอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, 2554.
Creswell, John. W. Research Design: Qualitative, Quantitative and Mixed Methods Approaches, 3rd ed, Thousand Oaks, Calif. : Sage, c2009.

แบ่งปันสิ่งนี้:

Share:

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on pinterest
Pinterest
Share on linkedin
LinkedIn

ขอคำปรึกษา

Tag : การทำ is จ้างทำ is จ้างทำวิจัย จ้างทำวิทยานิพนธ์ จ้างทํางานวิจัย จ้างทําวิจัย ป.ตรี ราคา จ้างทําวิจัยราคา จ้างทําวิจัยราคาประหยัด จ้างทําวิจัย ราคาเท่าไหร่ จ้างทําวิทยานิพนธ์ จ้างทําวิทยานิพนธ์ราคา จ้างวิจัย ทําวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย ทำงานวิทยานิพนธ์ บริการรับทำวิจัย รับจัดหน้าวิทยานิพนธ์ รับจ้างทำ is รับจ้างทํางานวิจัย ราคาถูก รับจ้างทํารายงาน รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ ราคาถูก รับจ้างเขียนรายงาน รับทำ is รับทำ powerpoint รับทำ spss รับทำ thesis รับทำดุษฎีนิพนธ์ รับทำวิจัย รับทำวิจัยราคาถูก รับทำวิทยานิพนธ์ รับทำสารนิพนธ์ รับทำแบบสอบถาม รับทำโปรเจคจบ รับทํา thesis รับทํางานวิจัย รับทําปริญญานิพนธ์ รับทํารายงาน รับทําวิจัย ป.ตรี รับทําวิทยานิพนธ์ รับทําวิทยานิพนธ์ ป.โท รับทําวิทยานิพนธ์ ราคา รับทําวิทยานิพนธ์ราคาเท่าไหร่ รับทํา สารนิพนธ์ รับแปลงานวิจัย ราคารับทำวิทยานิพนธ์ วิจัย

Table of Contents

On Key

Related Posts

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ Thesis Thailand ขอแนะนำการจัดตารางการอ่านหนังสือ ดังนี้ . 1. เลือกเวลาที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก . 2.

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

จากการศึกษางานวิจัยของ The British Journal of Psychology ทำการทดลองด้วยการสำรวจความเห็นของกลุ่มคนอายุ 18 ถึง 28 ปี จำนวนกว่า 15,000 คน ผลวิจัยพบว่า คนฉลาดหรือคนที่มีไอคิวสูง ๆ ที่จำนวนของกลุ่มเพื่อนมีผลกระทบต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก และคนฉลาดมักมีความพึงพอใจต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า นั่นแปลว่ายิ่งคุณฉลาดเท่าไหร่ คุณจะยิ่งไม่ชอบเข้าสังคมเลย . พบอีกว่าคนที่มีไอคิวสูงนั้นมักจะไม่ใช้เวลาไปกับการเข้าสังคมหรือใช้เวลากับเพื่อนมากนัก

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

จากการศึกษาเรื่องงานวิจัยที่น่าสนใจของ ดร.มุยเรียนน์ ไอริช นักประสาทวิทยาศาสตร์การรู้คิด จากสถาบันวิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย กล่าวว่าที่ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชายอาจเป็นเพราะผู้หญิงมักต้องทำงานที่ใช้ความจำในด้านบางอย่างมากกว่าผู้ชาย เช่น การตามตารางนัดหมาย หรือการตรวจสิ่งของต่างๆ ว่าเก็บไว้ตรงไหน ทำให้เหมือนเป็นการฝึกฝนไปในตัว . อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา & Holistic Medicine กล่าวว่าโครงสร้างของสมองระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศในช่วงตอนต้นของชีวิต โดยผู้หญิงจะมีสมองส่วน Hippocampus ทำหน้าที่เก็บความจำต่อเหตุการณ์ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้มากกว่าและยังรวมถึงการระลึกเหตุการณ์เก่าๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย และขณะเดียวกันผู้ชายมักจะเก็บความทรงจำในภาพรวมหรือเหตุการณ์สำคัญๆมากกว่า

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

จากการศึกษาจาก แดรี่เลวานี จอห์นสัน (Darylevuanie Johnson) นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาด้านจิตวิทยา กล่าวว่า คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นอยู่เสมอ หรือที่เรียกว่าเป็น People-Pleaser ที่ความพึงพอใจของคนอื่นมักจะมาก่อนของตัวเองเสมอ และคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ กับใครเลย เพราะการถูกปฏิเสธ ถูกโกรธ ถูกบอกเลิก หรือไม่ได้รับการยอมรับ . นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนประเภทนี้ ซึ่งหลายครั้งมันอาจถึงขั้นที่จะต้องแลกหรือเสียสละเวลา พลังงาน ความฝัน ความต้องการส่วนตัวของตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขมากที่สุด ทำให้พวกเขามักจะ