งานวิจารณ์ งานวิจัยเรื่อง “ ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทย ”

งานวิจารณ์ งานวิจัยเรื่อง “ ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทย ”

  1. ชื่อเรื่องงานวิจัย
  2. สะท้อนเรื่องที่วิจัยหรือไม่
  3. กระชับหรือไม่
  4. มีการระบุตัวแปรที่สำคัญหรือไม่
  5. มีการระบุประชากรที่ศึกษาหรือไม่
  6. มีการระบุสถานที่ศึกษาหรือไม่
  7. สะท้อนแนวทางวิธีการศึกษาและวิเคราะห์หรือไม่
    ชื่องานวิจัยเรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดว่า ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร คือไม่มีความกะทัดรัด ชัดเจน เพราะชื่อเรื่องมีความยาวเกินไป หากเปลี่ยนไปใช้ “ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย” น่าจะมีความกระชับและสื่อความหมายได้ครอบคลุมกว่าการระบุคำว่าประสิทธิภาพ เนื่องด้วยคำว่า ประสิทธิภาพ ที่ผู้เขียนกล่าวถึงนั้น ประสิทธิภาพหมายถึง
    2.บทคัดย่อ Abstract
  8. มีการกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธี ผลการวิจัย และให้ข้อเสนอแนะหรือไม่
  9. มีจำนวนคำและความยาวที่เหมาะสมหรือไม่
  10. กระชับและชัดเจนหรือไม่
  11. สะท้อนเรื่องที่ศึกษาหรือไม่
    บทคัดย่อนี้ข้าพเจ้าคิดว่า มีการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษา บอกถึงแหล่งที่มาของข้อมูลที่ศึกษาว่าเป็นขั้นทุติยภูมิ
    3.ปัญหาการวิจัย Research Problem
  12. ปัญหาการวิจัยมีเขียนไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ มีการกล่าวถึงในส่วนเริ่มต้นของรายงานวิจัยหรือไม่ มีการเขียนแบบข้อคำถาม หรือเป็นประโยคบอกเล่า
  13. มีข้อสนับสนุนความเป็นมาความสำคัญหรือความรุ่นแรงของปัญหาหรือไม่
  14. มีการกล่าวถึงงานวิจัยอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และมีการชี้ให้เห็นไม่ว่างานวิจัยนี้ เหมือนหรือต่างจากเรื่องอื่นอย่างไร หรืองานงานวิจัยนี้จะเติมช่องว่างของความรู้ได้อย่างไร
  15. มีการระบุตัวแปรหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่จะศึกษาหรือไม่
  16. มีการระบุธรรมชาติของประชากรที่ศึกษาหรือไม่
  17. มีการมองปัญหาภายใต้บริบทของกรอบแนวคิดทฤษฏีที่เหมาะสมหรือไม่
  18. ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการศึกษาปัญหานี้มีความสำคัญอย่างไรต่อการปฏิบัติการพยาบาล การสร้างองค์ความรู้หรือประเด็นอื่น
    4.วัตถุประสงค์การวิจัย Purpose,Objective,Aim
  19. มีความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัยหรือไม่
  20. เขียนชัดเจนหรือไม่ว่าผู้วิจัยมีแผนจะทำอะไร จะเก็บข้อมูลจากใคร ที่ไหน
    การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง Review of literature
  21. เป็นการศึกษาอย่างขว้างขวางลึกซึ้งเกี่ยวข้องและครอบคลุมตัวแปรต่างๆที่วิจัยหรือไม่
  22. นำเสนอต่อจากบทนำและปัญหาการวิจัยหรือไม่
  23. ให้ความรู้เกี่ยวกับความรู้ที่มีอยู่ ช่องว่างของความรู้ และบทบาทของงานวิจัยเรื่องนี้ในการขยายหรือทดสอบความรู้หรือไม่
  24. มีการใช้ข้อมูลทั้งเชิงทฤษฏีและงานวิจัยหรือไม่
  25. แหล่งอ้างอิงส่วนใหญ่เป็นปฐมภูมิ หรือ ทุติยภูมิ มีความเป็นปัจจุบันหรือไม่
  26. แหล่งอ้างอิงสำคัญหรือข้อมูลสำคัญ มีการกล่าวไว้ถึงครบถ้วนหรือไม่
  27. การเขียนเรียงเป็นลำดับต่อเนื่องหรือไม่ น่าอ่าน น่าติดตามหรือไม่
  28. การเขียนเรียบเรียงใหม่โดยใช้ภาษาตนเอง หรือเป็นการคัดลองคำพูดมาจากแหล่งปฐมภูมิโดยตรง
  29. สะท้อนอคติของผู้วิจัยหรือไม่
  30. มีการเขียนเชิงวิพากษ์ เปรียบเทียบหรือไม่
  31. มีการสรุปสถานภาพองค์ความรู้ในหัวข้อนั้น State of the art หรือไม่
  32. ขอบเขตของการวิจัย
    หลักในการเขียนขอบเขตของการวิจัย
  33. มีการกำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ชัดเจน หรือไม่อย่างไร
  34. กำหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่างชัดเจนหรือไม่
  35. กำหนดขอบเขตของตัวแปรที่ศึกษาชัดเจนหรือไม่ 6.กรอบแนวคิดทฤษฏี
  36. มีการระบุกรอบแนวคิดทฤษฏีอย่างชัดเจนหรือไม่
  37. แนวคิด ทฤษฏี สอดคล้องเหมาะสมกับเรื่องที่ศึกษาหรือไม่
  38. ให้ความหมายของตัวแปรสำคัญอย่างชัดเจนหรือไม่
  39. สมมุติฐานได้มาจากกรอบแนวคิดทฤษฏีหรือไม่
  40. มีการระบุข้อความแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือไม่
  41. การใช้เแนวคิด ทฤษฏี มีความสม่ำเสมอตลอดงานวิจัยหรือไม่
  42. ทฤษฏีที่ใช้มาจากศษสตร์ทางการพยาบาลหรือสาขาวิชาใด หรือเป็นแนวคิดที่เกิดจากการผสมผสานงานวิจัยและทฤษฏีต่างๆ
    7.สมมุติฐานการศึกษา
    หลักในการตั้งสมมุติฐานของการวิจัย
  43. เป็นการเขียนแบบมีทิศทางหรือไม่มีทิศทาง
  44. สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการวิจัยข้อใด
  45. บ่งบอกได้ว่ามีตัวแปรใดบ้างที่จะศึกษา อะไรเป็นตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ อะไรเป็นตัวแปรตาม
  46. สามารถทดสอบได้ด้วยสมมติฐานทางสถิติหรือไม่ และใช้สถิติใดทดสอบ

8.วิธีการรวบรวมข้อมูล Data collection procedure

  1. ข้อมูลมีการรวบรวมอย่างไร มีกี่วิธี
  2. วิธีรวบรวมข้อมูลมีความเหมาะสมกับการวิจัยหรือไม่
    3.มีขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลที่ชัดเจนสำหรับตัวอย่างทุกคนหรือไม่
  3. ใครรวบรวมข้อมูล ผู้รวบรวมข้อมูลมีความเหมาะสมหรือไม่ ได้รับการฝึกอบรมอย่างไร
  4. ข้อมูลรวบรวมในสถานการณ์เช่นไร มีความกดดันไหม มีคนอื่นอยู่ในขณะเก็บข้อมูลไหม ผู้ให้
    หลักการเก็บรวบรวมข้อมูล
  5. มีวิธีการทดลอง หรือรวบรวมข้อมูลอย่างไร เป็นวิธีที่เชื่อถือได้หรือไม่
    2.ขนาดตัวอย่างเหมาะสมหรือเพียงพอต่อการวิจัยหรือไม่ และกำหนดขนาดตัวอย่างไว้อย่างไร
    9.การวิเคราะห์ข้อมูล
    หลักในการวิเคราะห์ข้อมูล
  6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย/สมมติฐานการวิจัยหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงใช้สถิตินั้น ๆ ในการตอบคำถามวิจัย
    การแปลความหมายข้อมูล ตารางที่นาเสนอนั้นตอบจุดมุ่งหมายใดของการวิจัย การแปลความหมายอ่านแล้วเข้าใจชัดเจน/สับสน ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวด้วยหรือไม่

Share:

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on pinterest
Pinterest
Share on linkedin
LinkedIn

ขอคำปรึกษา

Tag : การทำ is จ้างทำ is จ้างทำวิจัย จ้างทำวิทยานิพนธ์ จ้างทํางานวิจัย จ้างทําวิจัย ป.ตรี ราคา จ้างทําวิจัยราคา จ้างทําวิจัยราคาประหยัด จ้างทําวิจัย ราคาเท่าไหร่ จ้างทําวิทยานิพนธ์ จ้างทําวิทยานิพนธ์ราคา จ้างวิจัย ทําวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย ทำงานวิทยานิพนธ์ บริการรับทำวิจัย รับจัดหน้าวิทยานิพนธ์ รับจ้างทำ is รับจ้างทํางานวิจัย ราคาถูก รับจ้างทํารายงาน รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ ราคาถูก รับจ้างเขียนรายงาน รับทำ is รับทำ powerpoint รับทำ spss รับทำ thesis รับทำดุษฎีนิพนธ์ รับทำวิจัย รับทำวิจัยราคาถูก รับทำวิทยานิพนธ์ รับทำสารนิพนธ์ รับทำแบบสอบถาม รับทำโปรเจคจบ รับทํา thesis รับทํางานวิจัย รับทําปริญญานิพนธ์ รับทํารายงาน รับทําวิจัย ป.ตรี รับทําวิทยานิพนธ์ รับทําวิทยานิพนธ์ ป.โท รับทําวิทยานิพนธ์ ราคา รับทําวิทยานิพนธ์ราคาเท่าไหร่ รับทํา สารนิพนธ์ รับแปลงานวิจัย ราคารับทำวิทยานิพนธ์ วิจัย

Table of Contents

On Key

Related Posts

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ

How to จัดตารางการอ่านหนังสือ Thesis Thailand ขอแนะนำการจัดตารางการอ่านหนังสือ ดังนี้ . 1. เลือกเวลาที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก . 2.

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

งานวิจัยเผย : คนฉลาดมักมีเพื่อนน้อยกว่าคนธรรม

จากการศึกษางานวิจัยของ The British Journal of Psychology ทำการทดลองด้วยการสำรวจความเห็นของกลุ่มคนอายุ 18 ถึง 28 ปี จำนวนกว่า 15,000 คน ผลวิจัยพบว่า คนฉลาดหรือคนที่มีไอคิวสูง ๆ ที่จำนวนของกลุ่มเพื่อนมีผลกระทบต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก และคนฉลาดมักมีความพึงพอใจต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า นั่นแปลว่ายิ่งคุณฉลาดเท่าไหร่ คุณจะยิ่งไม่ชอบเข้าสังคมเลย . พบอีกว่าคนที่มีไอคิวสูงนั้นมักจะไม่ใช้เวลาไปกับการเข้าสังคมหรือใช้เวลากับเพื่อนมากนัก

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

งานวิจัยเผย : ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชาย

จากการศึกษาเรื่องงานวิจัยที่น่าสนใจของ ดร.มุยเรียนน์ ไอริช นักประสาทวิทยาศาสตร์การรู้คิด จากสถาบันวิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย กล่าวว่าที่ผู้หญิงความจำดีกว่าผู้ชายอาจเป็นเพราะผู้หญิงมักต้องทำงานที่ใช้ความจำในด้านบางอย่างมากกว่าผู้ชาย เช่น การตามตารางนัดหมาย หรือการตรวจสิ่งของต่างๆ ว่าเก็บไว้ตรงไหน ทำให้เหมือนเป็นการฝึกฝนไปในตัว . อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา & Holistic Medicine กล่าวว่าโครงสร้างของสมองระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศในช่วงตอนต้นของชีวิต โดยผู้หญิงจะมีสมองส่วน Hippocampus ทำหน้าที่เก็บความจำต่อเหตุการณ์ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้มากกว่าและยังรวมถึงการระลึกเหตุการณ์เก่าๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย และขณะเดียวกันผู้ชายมักจะเก็บความทรงจำในภาพรวมหรือเหตุการณ์สำคัญๆมากกว่า

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

นักจิตวิทยาเผย : ระวังจิตพัง เพราะตามใจคนอื่น เป็นคนอะไรก็ได้

จากการศึกษาจาก แดรี่เลวานี จอห์นสัน (Darylevuanie Johnson) นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาด้านจิตวิทยา กล่าวว่า คนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นอยู่เสมอ หรือที่เรียกว่าเป็น People-Pleaser ที่ความพึงพอใจของคนอื่นมักจะมาก่อนของตัวเองเสมอ และคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ กับใครเลย เพราะการถูกปฏิเสธ ถูกโกรธ ถูกบอกเลิก หรือไม่ได้รับการยอมรับ . นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนประเภทนี้ ซึ่งหลายครั้งมันอาจถึงขั้นที่จะต้องแลกหรือเสียสละเวลา พลังงาน ความฝัน ความต้องการส่วนตัวของตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขมากที่สุด ทำให้พวกเขามักจะ